เขาพระวิหารบทเรียนของคนไทย
ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลง
การแข่งขันของนานาประเทศต่างต้องการที่จะเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี่
ประเทศเหล่านั้นได้พัฒนาตัวเองอย่างรุดหน้า
เมื่อมีโอกาสที่จะก้าวหน้าประเทศอื่นที่เป็นคู่แข่งก็ไม่ยอมรีรอชักช้าฉวย
โอกาส
ทวีปเอเซียของเราเป็นทวีปที่มีความอุดมสมบูรณ์ของภูมิประเทศอันอบอุ่นมี
อารยะธรรมที่ยาวนานฝั่งรากเหง้าไว้ให้ลูกหลานสืบทอดมาหลายพันปี
โดยเฉพาะทางภูมิปัญญาร่วมทั้งด้านสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างต่างๆตลอดจน
เครื่องมือเครื่องใช้ที่ถูกขุดค้นพบบ่งบอกถึงความเจริญของคนเอเซียโบราณที่
รักษาดำรงค์เผ่าพันธุ์มายาวนาน
และในปัจจุบันชนชาติต่างๆในเอเซียได้แบ่งแยกอาณาเขตที่ชัดเจนขึ้นมีการปกครองการบริหารประเทศตามนโนบายของรัฐบาลในแต่ละยุคสมัย
ปัจจุบันไทยกับกัมพูชามีข้อพิพาทเรื่อง เขาพระวิหาร
เป็นกรณีการขอขึ้นเป็นมรดกโลกต่อองค์กรยูเนสโกของกัมพูชา
ในระหว่างที่เหตุการณ์ภายในประเทศไทยของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงและความไม่สงบ
หลายต่อหลายครั้ง
ส่วนข้างนอกประเทศของเรากัมพูชาเองก็หาช่องทางรุกก้าวไปข้างหน้าโดยเฉพาะ
เรื่องเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนตามแนวชายแดน
และมีข่าวว่ากัมพูชาได้ล็อปปี้คณะกรรมการองค์กรยูเนสโกเรื่องการขอขึ้น
ทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยกัมพูชาอย่างลับๆครั้งที่มีการประชุมที่
ผ่านมานี้
หลังจากที่เขาพระวิหารถูกเสนอชื่อให้เป็นมรดกโลกเมื่อครั้งก่อนโดยกัมพูชา
อย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ
ระหว่างที่คนไทยเราทะเลาะกันเองหรือถูกยุยงให้ทะเลาะกันเองหรือเป็นช่องทาง
หรือเป็นช่องว่างหรือเป็นแผนของใคร?และใครได้ผลประโยชน์?
ผมจึงสนใจที่จะขอเก็บรวบร่วมข้อมูลเรื่องกรณีข้อพิพาทเรื่อง
เขาพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขว้าง
และเขาพระวิหารมรดกโลกที่คนไทยชื่นชมมาหลายพันปีกำลังจะสูญเสียร่วมทั้ง
พื้นที่ 4.6
ตารางกิโลเมตรที่ยังไม่ปักหลักเขตแดนให้ผู้ที่สนใจอ่านและพิจารณาข้อเท็จ
จริงเท่าที่หลักฐานเรามีและขออนุญาตเจ้าของบทความต่างๆที่ผมหยิบยกมาเผยแพร่
ให้คนไทยในชาติเราได้รับรู้รับทราบกันด้วยนะครับขอขอบคุณอย่างมากมา ณ
โอกาศนี้
ผู้ค้นพบปราสาทพระวิหารในสมัยปัจจุบันคือ
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ใน
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงพบเมื่อปี พ.ศ. 2442
ขณะทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็น ข้าหลวงต่างพระองค์
เสด็จไปรับราชการที่มณฑลลาวกาว (อิสาน) ในสมัยรัชกาลที่ 5 และได้ทรงจารึกปี
ร.ศ. ที่พบเป็นเลขไทย ตามด้วยพระนามไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดี
เป็นข้อความว่า "๑๑๘ สรรพสิทธิ"
ต่อมาเมื่อประเทศฝรั่งเศสเข้าครอบครองอินโดจีนได้ทำสนธิสัญญา พ.ศ. 2447
ในการปักปันเขตแดนกับราชอาณาจักรสยาม โดยมีความตามมาตรา 1 ของสนธิสัญญา
ระบุให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน
ซึ่งมีผลให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2451
ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ฝ่ายเดียว ส่งมอบให้สยาม 50 ชุด แต่ละชุดมี 11
แผ่นและมีแผ่นหนึ่งคือ "แผ่นดงรัก" ที่ครอบคลุมพื้นที่ปราสาทพระวิหาร
และไม่ได้ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน
ทำให้ปราสาทพระวิหารในแผนที่อยู่ในดินแดนของกัมพูชา
โดยที่รัฐบาลสยามในขณะนั้นไม่ได้รับรองหรือทักท้วงความ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2483
ประเทศฝรั่งเศสแพ้สงครามต่อประเทศเยอรมัน ทำให้แสนยานุภาพทางทหารลดลง จอมพล
ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
ได้ยื่นข้อเสนอเรียกร้องดินแดนที่เสียไปในสมัยรัชกาลที่ 5 คืนจากฝรั่งเศส
ซึ่งฝรั่งเศสปฏิเสธและมีการเคลื่อนไหวทางทหาร
ที่ทำให้เกิดสงครามพิพาทอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสขึ้นในปี พ.ศ. 2484
ประเทศไทยได้รับชัยชนะในการรบตลอด 22 วัน
กระทั่งประเทศญี่ปุ่นที่เป็นมหาอำนาจในขณะนั้นเสนอตัวเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย
และฝรั่งเศสได้ตกลงคืนจังหวัดไชยบุรี จำปาศักดิ์ เสียมราฐ
และพระตะบองให้กับไทย ตาม อนุสัญญาโตเกียว
ทำให้ปราสาทพระวิหารกลับมาอยู่ในดินแดนไทยอย่างสมบูรณ์
ต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลไทยประกาศเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น
ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร และต่อมาญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงคราม
ประเทศไทยต้องรักษาสถานะตัวเองไม่ให้เป็นฝ่ายแพ้สงครามตามญี่ปุ่น
และต้องการเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ จึงตกลงคืนดินแดน 4
จังหวัดให้ฝรั่งเศส ทำให้ปราสาทพระวิหารกลับไปอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ต่อมาในปี พ.ศ. 2497 ฝรั่งเศสแพ้สงครามต่อเวียดนามที่เดียนเบียนฟู
ต้องถอนทหารออกจากอินโดจีน ประเทศกัมพูชาได้รับเอกราชตามสนธิสัญญาเจนีวา
และไทยได้ส่งทหารเข้าไปรักษาการบริเวณปราสาทพระวิหารอีกครั้ง
ภายหลังกัมพูชาได้รับเอกราช เจ้านโรดมสีหนุ
กษัตริย์กัมพูชาสละราชสมบัติเข้าสู่การเมือง
ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี และประกาศเรียกร้องให้ไทยคืนปราสาทพระวิหาร
และไทยไม่ยอมรับ เจ้านโรดมประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501 และในปีต่อมา เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม
พ.ศ. 2502 เจ้านโรดมสีหนุได้ฟ้องร้องต่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
(International Court of Justice) หรือศาลโลก ให้ไทยคืนปราสาทพระวิหาร
ฝ่ายไทยต่อสู้คดีโดยมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กับคณะรวม 13 คน
เป็นทนายฝ่ายไทย และฝ่ายกัมพูชามีนายดีน แอจิสัน เนติบัณฑิตแห่งศาลสูงสุด
อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เป็นหัวหน้าคณะ กับพวกอีกรวม 9 คนแ
ผนที่ดังกล่าว
กระทั่งวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา
ด้วยเสียง 9 ต่อ 3 และในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2505
หลังจากศาลโลกตัดสินแล้ว 20 วัน รัฐบาลไทยโดย ดร.ถนัด คอมันตร์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือไปยัง นายอูถั่น
เลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อประท้วงคำพิพากษาของศาลโลก
และสงวนสิทธิที่ประเทศไทยจะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาค ต
หลังจากนั้นไม่นาน
กัมพูชาเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นภายในประเทศ
ปราสาทหินแห่งนี้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมเป็นช่วงสั้นๆ ในปี พ.ศ. 2535
แต่ปีต่อมาก็ถูกเขมรแดงเข้าครอบครอง จากนั้นก็เปิดอีกครั้งจากฝั่งประเทศไทย
เมื่อปลายปี พ.ศ. 2541 และเมื่อ พ.ศ. 2546
กัมพูชาก็ได้ตัดถนนเข้าไปจนสำเร็จสมบูรณ์หลังจากรอคอยเป็นเวลาช้านาน
แต่ก็มีการห้ามเข้าอยู่เป็นระยะโดยมิได้กำหนดล่วงหน้า
0 comments:
Post a Comment